30 ธันวาคม 2568

ช่วง Free Talk by Admin ส่งท้ายปี 2025

สวัสดีครับ แอดมินเอครับผม ' w')/

ตามธรรมเนียมเช่นทุกปีนะครับ ในบทความส่งท้ายปีนี้จะเป็นการสรุปเรื่องราวที่เกิดขึ้นในรอบปี จะมีอะไรบ้าง ไป Recap กันเลย !!


ปีทองของ Kirby กับภาคเสริม และการรอคอยกว่า 22 ปี ...ที่น่าผิดหวัง

ในปีนี้ทาง Nintendo ได้ปล่อยของเด็ดอย่าง Nintendo Switch 2 ออกมาอย่างเป็นทางการ โดยได้มีการเปิดตัวในเดือนมกราคม ก่อนที่จะวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในช่วงเดือนเมษายน (เครื่องศูนย์ไทยของ Synnex Thailand วางจำหน่ายในเดือนมิถุนายน)

นอกจากนี้ในช่วงไล่เลี่ยกับที่เครื่องวางจำหน่ายในโซนแรก (ญี่ปุ่นกับอเมริกา) ทาง Nintendo ได้เปิดตัวเกม Kirby ออกมาใหม่ถึงสองเกมด้วยกัน โดยเกมแรกเป็น "ภาคเสริม" ของเกมเก่าจาก Switch 1 อย่าง Kirby and the Forgotten Land (KatFL) ในชื่อภาค "Star-Crossed World" โดยเป็นภาคเสริมสำหรับ Switch 2 โดยเฉพาะ ซึ่งผู้ที่มีตัวเกมภาคเก่าของ Switch 1 อยู่แล้ว ทั้งในรูปแบบตลับและดิจิทัล สามารถซื้อ "Upgrade Pack" ผ่านทางร้านค้า eShop เพื่อเล่นภาคเสริมบน Switch 2 ได้ทันทีโดยไม่ต้องซื้อเกมใหม่ ส่วนผู้ที่ยังไม่มีตัวเกมก็สามารถซื้อเกมเต็มได้เช่นกัน ส่วนรายละเอียดของภาคเสริมมีดังนี้..

เพิ่มโหมดใหม่ Star-Crossed World – สำหรับในโหมดนี้จะเข้าเล่นได้ก็ต่อเมื่อเล่นโหมดเนื้อเรื่องหลักจบแล้วเท่านั้น (จบแบบกี่ % ก็ได้) โดยลักษณะจะคล้ายกับโหมด "Extra Game" ของภาคที่ผ่านมานั้นเอง คือ เปลี่ยนแปลงบรรยากาศของฉากและเลย์เอาเลเวลทั้งหมด และเปลี่ยนแปลงศัตรูและบอสบางส่วน ให้ยากขึ้น โดยในบางด่านหรือเลเวลจะมีการเพิ่มระยะทางให้ยาวขึ้น และยังมีเส้นทางใหม่ที่ในโหมดหลักไม่มี ให้สำรวจเพิ่มอีกด้วย ซึ่งในภาคนี้จะต่างจากภาคที่ผ่านมาตรงที่ยังมาพร้อมกับเนื้อเรื่องใหม่อีกด้วย ไม่ได้แค่เพียง "ย้อมแมวฉาก" เพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับตัวประกันชุดใหม่และ Starry Coins ให้เก็บสะสมเพื่อใช้ปลดล็อคฟิกเกอร์ชุดใหม่ในตู้กาชา และโหมด/สถานที่ใหม่ภายในเมืองของ Star-Crossed World อีกด้วย

เพิ่ม Mouthful Mode สามร่างใหม่ – Spring Mouth สำหรับกระโดดขึ้นที่สูง และพุ่งลงมาทับได้ (คล้ายพลัง Stone ในภาคเก่า), Gear Mouth ใช้สำหรับไต่กำแพงขึ้นไปในแนวดิ่งได้ (คล้ายกับพลัง Wheel ในภาคเก่า) และ Sign Mouth ไถลด้วยความเร็ว และกระโดดหมุนตัวโจมตีกลางอากาศ (คล้ายกับพลัง Ice Skating (Cutter+Ice) ในภาค 64)

เพิ่มโหมดสู้บอสใหม่สุดท้าทาย The Ultimate Cup Z EX – ปลดล็อคโดยการเคลียร์โหมด Star-Crossed World ซึ่งในนี้ท่านจะได้เจอกับบอสใหม่ประจำโหมด SCW รวมถึง "บอสลับ" จากภาคเก่าในร่างใหม่สุดเซอร์ไฟรส์อีกด้วย (ล่าสุดมีคนเคลียร์แบบ No Damage ได้แล้ว แถมจบภายใน 7 นาทีอีกด้วย !! 😮 ทำไปด้ายยยย~)
 
การปรับปรุงสำหรับ Nintendo Switch 2 (ฟรี) – ปรับปรุงกราฟิก รองรับ 4K และรันที่ 60 FPS เป็นอย่างต่ำ (อันนี้ไม่ต้องซื้อภาคเสริมก็มีให้เช่นกัน)



และอีกเกมที่มีการเปิดตัวออกมานั้นก็คือ Kirby Air Riders ซึ่งถือว่าเซอร์ไฟรส์พอสมควร เพราะนอกจากจะเป็นภาคต่อจากเกมเก่าของเครื่อง GameCube เมื่อ 22 ปีที่แล้วนั้น ยังเป็นการกลับมากำกับโดย Masahiro Sakurai บิดาผู้ให้กำเนิด Kirby อีกด้วย (อ่านประวัติได้ภายในลิงค์นั้น) ซึ่งในภาคนี้นอกจากจะมีโหมดการเล่นและสนามเก่ากลับมาครบแล้วนั้น ยังมีสนามใหม่ในโหมด Air Ride และ Top Ride โหมดละ 10 แผนที่, ตัวละครใหม่มากถึง 10 ตัว (มี Adeleine ด้วย 😍 ..แต่ไม่มี Cirno เอ้ย! Ribbon นะ) และยานพาหนะหรือ Air Ride Machine ใหม่อีก 2 ลำด้วยกัน ที่เด็ดคือ นอกจากแผนที่ในโหมด Top Ride และ City Trial จะใหญ่ขึ้นกว่าภาคแรกแล้วนั้น ยังมีโหมดเนื้อเรื่องในรูปแบบ "Open-world" ด้วยคือ Road Trip ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับเกมรุ่นพี่อย่าง Mario Kart World เลยครับ ทั้งวิ่งวนในแผนที่ Hub/Overworld เพื่อทำภารกิจ และหาไอเทมลับ และเข้าแข่งขันตามจุดต่างๆ



ถึงแม้จะมีกระแสตอบรับดีในการวางจำหน่ายช่วงแรก และได้รับคำชมจากสำนักข่าวเกมมากมาย แต่หลังจากนั้นไม่นานก็เริ่มเจอทัวร์จากผู้เล่นและอินฟูลฯสายเกมซะแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกราฟิกที่ทำอย่างลวกๆราวกับเกมสมัยเครื่อง Wii, ระบบปลดล็อคแบบเกมยุคเก่าที่เน้นการ Grinding มากกว่า Progression (เคลียร์โหมด Road Trip ไม่ได้หมายความว่าปลดทุกอย่างครบนะ) รวมถึงตัวละครที่ไม่ได้ขนมายกซีรี่ส์แบบ Kirby Star Allies (ไม่มี Gooey จาก KDL3, มี Adeleine แต่ไม่มี Ribbon ฯลฯ) และคอนเทนต์โดยรวมที่ค่อนข้างน้อยหากเทียบกับ Mario Kart World ทำให้ผู้เล่นบางคนรู้สึก "ไม่คุ้ม" กับราคาเต็มที่จ่ายไป เมื่อเทียบกับคุณภาพรวมของเกมที่ด้อยกว่าเกมรุ่นพี่อย่างเห็นได้ชัด ไม่สมกับการรอคอยใดๆ (มีสมาชิก Reddit ท่านนึงบอกว่าราคาควรจะ 40 หรือ 50 ดอลลาร์ด้วยซ้ำ ไม่ใช่ 70 ดอลลาร์ 😥) ซึ่งอินฟูลฯบางเจ้าถึงกับยกให้เป็นเกม Switch 2 ที่น่าผิดหวังแห่งปี (Worst Game of the Year) เลยทีเดียว แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงทำยอดขายทั่วโลกไปได้กว่า 3 ล้านชุด ณ ธันวาคม 2025 หรือเท่ากับสถิติเดิมของ Kirby Super Star Ultra เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

แม้จะเป็นการคืนชีพ ที่ลงเอยด้วยความไม่ประทับใจสักเท่าไหร่ ซึ่งส่วนหนึ่งที่คุณภาพงานของภาคนี้ดร็อปลง ก็มาจากเป็นผลงานการพัฒนาของทีมงานรุ่นใหม่ทั้งหมด (คนละทีมกับที่ทำ KatFL) และตัวเอนจินเกมที่เหมือนจะนำเอาเอนจินของ Super Smash Bros. Ultimate มาใช้ ซึ่งในส่วนของสตูดิโอเกมนั้นได้มีการรับทีมงานชุดใหม่นี้เข้ามาในช่วงต้นปี 2024 ทำให้เหมือนเป็นการเร่งดันตัวเกมออกมาไวเกินไปจนไม่มีเวลามากพอในการขัดเกลาเอนจินเพื่อดึงพลังของเครื่อง Switch 2 ออกมาใช้งานได้อย่างเต็มที่ ซึ่งแฟนๆก็ได้แต่หวังเป็นอย่างยิ่งกว่าจะมีการกลับลำ ออก DLC เพื่อเพิ่มตัวละครและปรับปรุงคุณภาพเกมให้ดีขึ้นกว่าเดิม

และในช่วงหลังจากงาน The Game Awards 2025 จบลง ก็มีข่าวลือเกี่ยวกับเกมภาคต่อไปที่จะเปิดตัวในไลฟ์ Nintendo Direct ของปี 2026 โดยเป็นเกมภาคหลักภาคใหม่ที่อาจมาในรูปแบบ 2D ลุยข้าง ผสมกับ 3D เดินรอบทิศ (คล้ายๆ Mega Man X7) และเล่นได้ถึง 4 คน และภาครีเมคของ Kirby: Canvas Curse กับ Kirby and the Rainbow Curse ที่จะได้วางจำหน่ายต่อจากนั้น และอาจมาแบบมัดรวม 2 ภาคในเกมเดียว (หากดูจาก Timeline เกมที่ปล่อยออกมาในยุค Nintendo Switch คาดว่าคงกลายเป็นธรรมเนียมไปแล้วที่ออกภาคใหม่สลับกับภาครีเมค)

การ(ใกล้)มาถึงของตู้ Pop'n Music 2025 MODEL (ในไทย) !!

ในช่วงกลางเดือนมิถุนายนนอกจากจะเป็นเดือนที่ NS2 ได้วางจำหน่ายในโซนเอเชียแล้วนั้น ทาง Konami ยังได้เปิดตัวตู้เกม Pop'n Music รุ่นใหม่ในรอบ 15 ปี นับตั้งแต่ภาค TUNE STREET ในปี 2010 พร้อมกับเกมภาคใหม่ที่ยังไม่เผยชื่อในขณะนั้น ซึ่งภายหลังคือ Pop'n Music High☆Cheers!! และได้อัปเดต/เปิดให้บริการตู้รุ่นใหม่อย่างเป็นทางการในวันที่ 18 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยตู้รุ่นใหม่นี้มีฟิเจอร์คล้ายกับตู้รุ่นใหม่ของเกมอื่นในเครือที่ออกมาก่อนหน้านี้ คือ หน้าจอหลัก 120hz, หน้าจอรองแบบสัมผัส และปุมใหม่ 2 ปุ่มสำหรับเล่นในโหมดใหม่ของภาคนี้ที่เป็นการเล่นด้วยปุ่มใหม่ 2 ปุ่มเท่านั้น และยังมี EXTRA MODE (ยังไม่เปิดให้เล่นในตอนนี้) ที่นอกจากใช้ 9 ปุ่มหลักแล้ว ยังมีโน้ตพิเศษขนาดใหญ่ 2 ฝั่งแทรกเข้ามาในเลนหลักทั้ง 9 คล้ายๆกับ SIDE TRACK ของ DJMAX RESPECT V อีกด้วย และในโหมดนี้ยังมีระดับใหม่ Cho-EX ที่ยากกว่า EX อีกด้วย (คล้ายกับระดับ LEGGENDARIA ของ IIDX หรือ CHALLENGE ของ DDR)


ส่วนตัวเกมนั้นก็ถือได้ว่าเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่แบบยกเครื่องจริงๆ เพราะนอกจากจะมีโหมดใหม่แล้ว ยังมีการรีมาสเตอร์กราฟิกตัวละครเก่าทั้งหมด และเพิ่มความละเอียดการแสดงผลเป็น 1080 และตัวเกมเป็นระบบ 64-bit เรียบร้อย ส่วนตัวละครใหม่ตั้งแต่ภาคนี้จะใช้อนิเมชันรูปแบบใหม่ที่ แขน-ขา และส่วนต่างๆของร่างกาย สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างลื่นไหล คล้ายกับใน HELLO! POP'N MUSIC นอกจากนี้ ทั้ง โลโก้ High☆Cheers!! รูปแบบธีมรวมไปถึงเมนูต่างๆนั้น ดูคล้ายกับ Friday Night Funkin' เอามากๆ ! จนบางท่านตั้งข้อสงสัยว่าภาคนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากเกมนั้นหรือเปล่านะ ? 😉


นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่า ตู้รุ่นใหม่นี้กำลังจะเตรียมเข้ามาเปิดให้บริการในไทยโดย Echo Games อีกด้วย โดยมีสมาชิก Facebook "จำนวนมาก" (ส่วนหนึ่งเป็นผู้ที่ติดตามเว็บเราด้วย) ได้ Inbox หลังไมค์ไปถามแอดมินเพจ Echo Games และได้คำตอบประมาณว่า "เดี๋ยวจะลองเสนอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบนะคะ" ก็คงเป็นการการันตีแบบกลายๆว่า ตู้รุ่นใหม่จะเข้าไทยอย่างแน่นอน !! (ที่แน่ๆ เลิกหวัง Hahama ไปได้เลยครับ เพราะไม่เคยเอาตู้รุ่นใหม่เข้ามาเลยแม้แต่เกมเดียว และล่าสุดได้ "ลอยแพ" Sound Voltex เป็นที่เรียบร้อย...)


และนี่คือเรื่องราวทั้งหมดตลอดปี 2025 ที่แอดมินนำมาสรุปในครั้งนี้... สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามบล็อกของเรามาโดยตลอดนะครับ แล้วพบกันใหม่ปีหน้า สำหรับวันนี้ "สวัสดีปีใหม่" ล่วงหน้าด้วยนะครับผม 🥳🎉

Moco's Dream Land 3: The Heart Stars


หน้านี้แก้ไขล่าสุดเมื่อวันที่ 
31 ธันวาคม 2568