28 พฤษภาคม 2568

SuperTuxKart 1.5 RC1 Release!!

v1.5 RC1 ออกแล้วครับ! หลังจากที่รอมาเกือบครึ่งปี ดาวน์โหลดกันได้เลย!!

https://github.com/supertuxkart/stk-code/releases/tag/1.5-rc1

การปรับเปลี่ยนที่สำคัญในเวอร์ชั่นนี้:
• ปรับปรุงการแสดงผลในหน้าเลือกรถ สนาม และโหมดเกม: ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือหน้าเลือกรถจะเห็นไอคอนตัวละครรวมอยู่ในหน้าเดียวกันแล้วครับ ได้อารมณ์ Mario Kart มากขึ้น แถมยังสามารถพิมพ์ชื่อเพื่อค้นหาได้อีกด้วย
• ปรับปรุงอนิเมชั่นของพลังร่มชูชีพและบาเรียให้แสดงผลเร็วขึ้น
• ปรับปรุงแผนที่เลือกด่านในโหมดเนื้อเรื่อง เพื่อเตรียมความพร้อมสู่ v2.0 Godot Edition
• เพิ่มสนามในโหมด Egg Hunts (Black Forest, Gran Paradisio Island และ The Old Mine)
• รองรับ SSAA (ตั้งค่า render resolution สูงกว่า 100%) และระบบเงาแบบใหม่

17 พฤษภาคม 2568

วิธี Compile เกม Vulture จากไฟล์ Source Code (Windows)

ที่จริงบทความนี้ผมเขียนขึ้นเพื่อเตือนความจำนะครับ แต่ไหนๆ ก็เห็นว่ามีประโยชน์กับส่วนรวมแล้ว เลยเอามาเผยแพร่ลงในบล็อกนี้ซะเลย

Vulture คืออะไร??

ความจริงแล้วควรเรียกเป็น "NetHack คืออะไร??" เพราะตัว Vulture จริงๆ แล้ว เป็นแค่ฉบับอัปเกรดกราฟิกของ NetHack เท่านั้นเอง... (NetHack ตัวต้นฉบับจะใช้กราฟิกแบบ ASCII และตาราง 8-บิต)


NetHack คือเกมแนว Roguelike แบบดั้งเดิมขนานแท้ ซึ่งจะต่างจากเกมแนวเดียวกันหลายๆ เกม ตรงที่เกมพวกนั้นมักจะหยิบเอาแค่จุดเด่น "บางส่วน" ของเกมแนวนี้มาเท่านั้น หลักๆ คือ ฉากแบบสุ่ม กับ ตายแบบถาวร (ตายแล้วเซฟหาย) แต่เกมนี้จะมีครบทุกอย่างที่ Roguelike มีเลย ทั้งรูปแบบการเล่นแบบ Turn-based, กราฟิกแบบตาราง และการตลุยดันเจียนตลอดเกม (Dungeon crawling)

จุดเด่นของเกมนี้คือ มีความลับให้ค้นหาเยอะมาก และเกมค่อนข้างซับซ้อนมากพอสมควร เหมาะสำหรับผู้ที่เก่งภาษาอังกฤษเท่านั้น เพราะเกมนี้ใช้ภาษาในเกมเล่นค่อนข้างเยอะ หากเล่นติดตรงไหน จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องศึกษาข้อมูลจากวิกิของเกมนี้ https://nethackwiki.com/wiki/Main_Page

แต่เมื่อเล่นจนชำนาญแล้ว ท่านจะนั่งติดหน้าจอได้มากกว่า 3 ชั่วโมงโดยไม่ลุกไปไหนได้เลยล่ะ ขอบอก!! 😊

ปัจจุบัน Vulture for NetHack เป็นเกมที่วางขาย(เสียเงิน)อยู่ใน Steam แต่ทางผู้พัฒนาได้มีการเผยแพร่ Source Code ผ่านทางเว็บไซต์ของตน ทำให้ใครที่อยากลองเล่นดูก่อน (หรือไม่อยากซื้อด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม) ก็สามารถทำการ Compile จากไฟล์ต้นฉบับดิบๆ ได้ โดยที่ไม่ต้องเสียเงินซื้อได้ด้วยนั่นเอง





หมายเหตุ

หากใครไม่อยาก Compile สามารถดาวน์โหลดเกมตัวเต็มได้ที่นี่ครับ เล่นได้เลยไม่ต้อง Compile
แต่เป็นเวอร์ชั่นเก่ากว่าตัว Source Code นะ

https://web.archive.org/web/20140223123530/http://download.darkarts.co.za/vulture/vulture-nethack-2.3.67-1_win32.exe

ซึ่งเวอร์ชั่น 2.3.67 เป็นเวอร์ชั่นสุดท้ายที่ทางผู้พัฒนาได้ปล่อยฟรี ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นเกมเสียเงินตั้งแต่ 2.4 เป็นต้นมา (ฟรีเฉพาะ Source Code)

NetHack ภาคต้นฉบับ
https://www.nethack.org/v343/downloads.html

(มือใหม่แนะนำเวอร์ชั่น 3.4.3 เพราะเล่นค่อนข้างง่ายกว่าเวอร์ชั่นล่าสุดพอสมควร และ Vulture ใช้ตัวเกม NetHack 3.4.3 เป็นพื้นฐานในการพัฒนาอีกด้วย)


3 เมษายน 2568

Nintendo เปิดตัว Kirby Air Riders + KatFL เปิดตัว DLC ใหม่สำหรับ NS2 เท่านั้น!!

Nintendo ประกาศเปิดตัว Kirby Air Riders อย่างเป็นทางการ โดยบิดาผู้ให้กำเนิดเคอร์บี้ Masahiro Sakurai (ฟังไม่ผิดจริงๆ Masahiro Sakurai เขากลับมาแล้ว!!) ทั้งนี้ยังไม่มีรายละเอียดใดๆ มากนัก นอกจากตัวอย่างเกมเพลย์ในโหมดดั้งเดิมทั้งสามที่คุ้นเคยเท่านั้น และยังไม่มีกำหนดวันวางจำหน่ายที่แน่นอน



ที่แน่ๆ คือ City Trial ภาคนี้โครตใหญ่ + ภาพสวยเหมือน Forza Horizon 5 เลย จอร์ชชชชชชชชช!! 😮

นอกจากนี้ในวันเดียวกัน Nintendo ยังได้ประกาศเปิดตัว Kirby and the Forgotten Land สำหรับ Nintendo Switch 2 ซึ่งมาพร้อมกับเนื้อหาใหม่ "Star-Crossed World" และปรับปรุงกราฟิกให้สวยงามขึ้น โดยผู้ที่มีตัวเกมอยู่แล้วสามารถซื้อเป็น DLC เพื่อนำมาเล่นบน NS2 ได้ทันที วางจำหน่าย 28 สิงหาคม 2025



ได้เวลาทำลายมิตรภาพด้วยการดึงฉากให้เพื่อนตกเหวตายแล้ว ฮ่าๆๆ 😈

2 เมษายน 2568

STK เตรียมเปลี่ยนไปใช้ Godot Engine!!

สวัสดีครับ แอดมินเอครับผม ' w')/

ความจริงข่าวนี้ออกมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่เกรงจะไม่มีใครเชื่อ เลยเอามาโพสวันนี้แทนครับ...

ขณะนี้ทางทีมพัฒนาของเกม SuperTuxKart ได้ประกาศว่า จะเตรียมเปลี่ยนเอนจินเกมใหม่จากเดิมคือ Antarctica ไปเป็น Godot แล้วนะครับ โดยให้เหตุผลคือ เอนจินตัวเดิมนั้นเป็นเอนจินที่เขียนขึ้นมาเอง ทำให้ต้องเขียนโค้ดเองแทบทั้งหมดในทุกส่วน ซึ่งส่งผลให้การอัปเดตเนื้อหาและแก้ไขบั๊คต่างๆ ทำได้ช้าลงและยากขึ้น และการเปลี่ยนไปใช้ Godot จะช่วยลดภาระในส่วนนี้ลงไปได้เยอะเลยทีเดียว เพราะไม่จำเป็นต้องเขียนโค้ดเองในบางส่วน โดยเฉพาะในส่วนของระบบเรนเดอร์ภาพ Vulkan ที่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาในตอนนี้ เมื่อเปลี่ยนมาใช้ Godot ก็ไม่จำเป็นต้องทำในส่วนนี้อีกต่อไป เพราะตัวเอนจินรองรับ Vulkan อยู่แล้วนั่นเอง ทำให้ผู้พัฒนาสามารถโฟกัสกับการอัปเดตเนื้อหาได้ง่ายและรวดเร็วขึ้นกว่าที่เคย

ทั้งนี้ยังไม่มีการเปิดเผยว่าจะเปลี่ยนไปใช้ Godot ในอัปเดตเวอร์ชั่น 1.6 หรือ 2.0 แต่อย่างใดครับ

ที่มา: https://blog.supertuxkart.net/

28 มีนาคม 2568

[FlightGear: Red Griffin ATC] วิธีติดตั้ง Arch Linux ผ่าน VM เพื่อใช้งาน Festival Server Mode บน Windows

สวัสดีครับ แอดมินเอครับผม ' w')/

สืบเนื่องจาก Add-ons ของโปรแกรมจำลองการบิน FlightGear ที่ชื่อว่า Red Griffin ATC นั้น รองรับการเชื่อมต่อกับโปรแกรมสังเคราะห์เสียงที่ชื่อว่า Festival คือ หากเราทำการเชื่อมต่อ FG เข้ากับโปรแกรมดังกล่าว จะทำให้ได้ยินเสียงของ ATC (เจ้าหน้าที่ควบคุมการบิน) ที่แตกต่างกันถึง 10 แบบ จากเดิมจะมีเสียงแค่ 2 แบบเท่านั้น ทำให้ได้ความสมจริงมากยิ่งขึ้น เพราะทุกครั้งที่เราจูนคลื่นวิทยุใหม่ จะทำให้ได้ยินเสียงที่ไม่ซ้ำกันนั่นเอง

แต่น่าเสียดายที่ Festival เวอร์ชั่น Windows ไม่รองรับการเชื่อมต่อกับ Client (ช่องเสียง) มากกว่า 1 ด้วยเหตุผลใดก็ไม่ทราบ ทำให้เปลี่ยนเสียงได้แค่เฉพาะเสียงของนักบินเท่านั้น เสียงของ ATC ยังคงเป็นเสียง Default เหมือนเดิม

แต่โชคดีที่ยังมีทางแก้อยู่ครับ ด้วยการเชื่อมต่อ FG เข้าไปยัง Festival ที่รันในเครื่อง VM ด้วยระบบ Linux ซะเลย!



สิ่งที่ต้องเตรียม
- RAM อย่างน้อย 12 GB
- โปรแกรม VM (VMware Workstation Pro หรือ VirtualBox ก็ได้)
- ไฟล์ ISO ของ Arch Linux
- ไฟล์เสียงของ Festival
- เวลาในการทำ 😉

เริ่มต้นด้วยการลงโปรแกรม VM ซึ่งในบทความนี้จะใช้ VMware นะครับ

ซึ่งที่ผมเลือกใช้ VMware เพราะมันทำงานได้เร็วกว่า VirtualBox พอสมควรเลย แต่ถ้าใครอยากจะใช้ VirtualBox ก็ไม่ว่ากันนะครับ เพราะแนวทางการตั้งค่าเครื่องจำลองของ VirtualBox แทบไม่ต่างกัน

1. ดาวน์โหลด และติดตั้ง VMware Workstation Pro **ต้องสมัครก่อนโหลด (ฟรี)**
https://www.vmware.com/products/desktop-hypervisor/workstation-and-fusion

หรือหากใครไม่อยากสมัคร สามารถหาไฟล์ Mirror ได้ที่ Internet Archive ครับ โหลดได้เลย ไม่ต้อง Login (พิมพ์ VMware Workstation ลงในช่องค้นหา)

ซึ่งเวอร์ชั่นล่าสุด ณ ที่เขียนบทความนี้คือ 17.6.3

2. ดาวน์โหลดไฟล์ ISO ของ Arch Linux (เลื่อนลงมาเรื่อยๆ หาลิงค์ Thailand)
https://archlinux.org/download/

3. ดาวน์โหลดไฟล์เสียงของ Festival
http://www.festvox.org/packed/festival/2.5/voices/

ตามรายชื่อนี้

cmu_us_rms
cmu_us_ahw
cmu_us_eey
cmu_us_bdl
cmu_us_rxr
cmu_us_clb
cmu_us_jmk
cmu_us_lnh
cmu_us_slt
cmu_us_ljm
kallpc16k


เมื่อโหลดครบแล้ว แตกไฟล์ออกมา จะได้โฟลเดอร์ชื่อ festival ขนาด 594 MB

4. เปิดโปรแกรม VMware Workstation Pro แล้วทำการสร้างเครื่องจำลองขึ้นมา


4.1 เลือก Typical
4.2 เลือกไฟล์ ISO ของ Arch Linux
4.3 เลือก Linux และตั้ง Version เป็น Other Linux 6.x kernel 64-bit
4.4 ตั้งชื่อเครื่องเป็น Arch Linux (หรือชื่ออื่นก็ได้)
4.5 ตั้งขนาด HDD จำลองเป็น 50 GB และเลือก Store virtual disk as a single file
4.6 กด Finish

5. คลิกที่ชื่อเครื่อง VM ที่เราเพิ่งสร้าง แล้วคลิก Edit virtual machine settings

5.1 ตั้ง RAM เป็น 4 GB (4096 MB) * Festival ในโหมด Server ต้องการ RAM อย่างน้อย 4 GB ถึงจะใช้งานได้โดยไม่เกิดปัญหา *
5.2 Number of processors ตั้งเป็น 2
Number of cores per processor ตั้งเป็น 1
5.3 แถบ Options เลือกเปิด Shared Folder กับโฟลเดอร์ festival ที่เราแตกไฟล์เสียงออกมา
5.4 Advanced -> Fireware type เลือกเป็น UEFI

6. เปิดเครื่องจำลอง แล้วพอบูทเข้าตัวติดตั้งสำเร็จแล้ว (จะเห็นเป็นแถบหลายสี กับ root@archiso ~ #) ให้พิมพ์ archinstall


7. ตั้งค่าตามนี้

7.1 Mirrors -> Mirror region -> Thailand
7.2 Disk configuration -> Partitioning -> Use a best-effort default partition layout -> กด Enter -> ext4
7.3 Root password -> ตั้งรหัสตามต้องการ
7.4 User account -> Add a user -> ตั้งชื่อและรหัสตามต้องการ -> Yes -> Confirm and exit
7.5 Profile -> Type -> Desktop -> Xfce4
7.6 Audio -> pulseaudio
7.7 Network configuration -> Copy ISO network configuration to installation
7.8 Additional packages -> เลือก Package ตามนี้ (กด Spacebar)

alsa-firmware
alsa-oss
alsa-utils
festival
pulseaudio-alsa
sof-firmware

networkmanager
nm-connection-editor
network-manager-applet
ppp
bind


Package เพิ่มเติมสำหรับผู้ใช้งาน VMware Workstation
open-vm-tools
gtkmm3

Package เพิ่มเติมสำหรับผู้ใช้งาน VirtualBox
virtualbox-guest-utils


เสร็จแล้วกด Enter จากนั้นเลือก Install ได้เลย


8. เมื่อรอติดตั้งจนเสร็จแล้ว เลือก No แล้วพิมพ์ reboot



9. เมื่อรีบูทจนเข้าหน้า Desktop แล้ว ให้เปิด Terminal แล้วพิมพ์ตามลำดับนี้ กด Y แล้ว Enter เมื่อถาม

systemctl enable vmtoolsd.service
systemctl start vmtoolsd.service

systemctl enable vmware-vmblock-fuse.service
systemctl start vmware-vmblock-fuse.service

systemctl enable NetworkManager.service
systemctl start NetworkManager.service

systemctl enable named.service
systemctl start named.service

sudo pacman -R pulseaudio-alsa
sudo pacman -R pulseaudio


10. จากนั้นทำการรีบูทเครื่องจำลอง แล้วเปิด Terminal ต่อมาพิมพ์ sudo alsamixer

ทำการปรับระดับเสียงเป็น 100% ให้หมด แล้วเปลี่ยนค่า MM ให้เป็น OO ด้วยการกด M ที่ช่องนั้นๆ เสร็จแล้วกด Esc


11. พิมพ์ sudo thunar แล้วคลิก View -> Show Hidden Files จากนั้นเข้าไปยัง File System /mnt/hgfs/festival/lib/voices/ เลือกโฟลเดอร์ english กับ us แล้วคลิกขวาเลือก Copy

* หากไม่เห็น hgfs ให้กด Alt+Ctrl ออกมาที่โปรแกรม VMware แล้วคลิกแถบ VM -> Settings -> Options -> Shared Folder -> Disabled -> OK แล้วทำซ้ำอีกครั้งแต่ให้เลือกเป็น Enabled until next power off or suspend แทน *

12. จากนั้นไปยัง /usr/share/festival/voices/ คลิกขวาเลือก Paste เสร็จแล้วปิด Thunar

13. เข้าโฟลเดอร์ Home จากหน้า Desktop แล้วคลิก View -> Show Hidden Files จากนั้นคลิกขวาเลือก Create Document -> Empty File -> พิมพ์ .festivalrc -> Create

14. เปิดไฟล์ .festivalrc แล้วพิมพ์ (set! server_access_list nil) จากนั้นกด Ctrl+S แล้วปิดไฟล์


15. คลิกขวาที่หน้า Desktop -> Create Launcher แล้วใส่ค่าตามนี้

Name ตั้งเป็น Festival Server Mode
Command ตั้งเป็น festival --server
Icon เลือกเป็นรูปหูฟัง
ติ๊ก Run in terminal

เสร็จแล้วกด Create

16. คลิกขวาที่ไอคอนสีส้มตรงแถบขวาบน แล้วเลือก Connection Information

จากนั้นให้จดเลข IP ในส่วนของ IPv4 ไว้


17. ปิดเครื่องจำลองไปก่อน แล้วมาเปิด C:\Users\(Name)\FlightGear\Downloads\fgdata_20XX_X\defaults.xml ที่เครื่องจริง ด้วยโปรแกรม Text Editor

แล้วหาค่าที่เขียนว่า "localhost"

      <voices>
        <host type="string" write="n">localhost</host>
        <port type="string" write="n">1314</port>
        <enabled type="bool" userarchive="y">true</enabled>


ให้เปลี่ยนตรง localhost เป็นเลขเดียวกับที่จดมา แล้วกด Ctrl+S (ตัวอย่างนี้คือ 192.168.100.32)

        <host type="string" write="n">192.168.100.32</host>

18. เปิดเครื่องจำลอง แล้วเปิด Festival Server Mode ที่หน้า Desktop เพื่อเริ่มใช้งาน จากนั้นสลับออกมาเครื่องจริง (กด Alt+Ctrl)
แล้วเปิด FlightGear ด้วยค่า --config=<ที่อยู่ของ>/RedGriffinATC/festival.xml ในกล่อง "Additional Settings"



หากไม่มีอะไรผิดพลาด ก็จะสามารถใช้งานได้ตามคลิปนี้ครับ



และในการใช้งานครั้งต่อไป ก็เพียงแค่เปิด Festival ในเครื่อง VM แล้วรัน FG ตามทีหลังเท่านั้นเองครับ

รายละเอียดเพิ่มเติม (ภาษาอังกฤษ)
https://wiki.flightgear.org/Red_Griffin_ATC#Festival_Speech_Synthesis_System_Support