HellSinker เป็นเกมแนวยานยิง Shoot 'em up / Shmup สไตล์ Bullet Hell
จากผู้พัฒนาคนเดียว Ruminant's Whimper หรือ Tonnor ที่เปิดวางขายในงาน Comiket
72 มาตั้งแต่ปี 2007 ล่าสุดทาง Henteko Doujin
ได้ลิขสิทธิ์นำมาวางจำหน่ายทั่วโลกบน Steam ในปี 2019 ที่ผ่านมา
ซึ่งความเจ๋งของเกมนี้อยู่ที่งานดีไซน์โดยรวมและระบบต่างๆ
ที่ให้ความรู้สึกแตกต่างจากทุกเกมในแนวเดียวกันที่เคยออกมาแทบทั้งหมด
เรียกได้ว่าจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีเกมไหนที่ให้ประสบการณ์ในการเล่นแบบเดียวกับเกมนี้ได้เลย
ด้วยความเจ๋งมากขนาดนี้ เราเลยหยิบมารีวิวอย่างไม่ลังเล
กราฟิกและการนำเสนอ
ตัวเกมมีธีมออกไปในแนว Sci-fi กึ่งๆ แฟนตาซี ที่ให้อารมณ์ทันสมัย
แต่ก็ดูเก่าแก่ไปพร้อมๆ กัน ด้านกราฟิกของเกมนี้จะคล้ายคลึงกับ Touhou คือ
เป็นฉากแบบ 3 มิติที่ผสมกับภาพตัวละครและศัตรูต่างๆ ในแบบ 2 มิติ
ที่มีความสวยงามและลงตัว สิ่งที่สะดุดตาก็คือ การออกแบบมุมกล้องและ Scrolling
ของฉากต่างๆ ที่ถ่ายทอดออกมาให้ความรู้สึกในแบบ Sense of Speed
ทำให้เห็นแล้วรับรู้ได้ถึงการต่อสู้ที่มีความรวดเร็วอย่างมาก
ตัวละคร
สำหรับระบบตัวละครในเกมนี้ต้องบอกเลยว่าค่อนข้างเป็นจุดเด่นและแตกต่างจากเกมอื่นเลยก็ว่าได้ครับ
โดยปกติแล้วในเกมแนวนี้ทั่วไป
การเลือกตัวละครจะมีความแตกต่างเฉพาะเพียงรูปแบบของกระสุนที่ถูกยิงออกมาเท่านั้น
เช่น ตัวนี้จะยิงเป็นเส้นตรง อีกตัวยิงกระจายหลายทิศทาง เป็นต้น
แต่สำหรับเกมนี้ทางผู้พัฒนาได้หยิบเอาระบบตัวละครแบบเดียวกับในเกมไฟติ้งและ MOBA
มาใช้ด้วยครับ กล่าวคือ
ตัวละครในเกมนี้ทุกตัวจะมีกลไกของมันชัดเจนเลยว่าออกแบบมาให้เล่นในรูปแบบไหน
ซึ่งผู้เล่นจำเป็นต้องศึกษารูปแบบการเล่นและเทคนิคต่างๆ ของตัวละครนั้นๆ
เพื่อที่จะดึง "ความสามารถ" ของตัวละครนั้นๆ ออกมาใช้ประโยคให้ได้สูงที่สุด
แน่นอนว่าระบบดังกล่าวทำให้แต่ละตัวมีความยาก-ง่ายในการเล่นที่แตกต่างกันไปอีกด้วย
บางตัวเล่นยากต้องใช้เวลาทำความเข้าใจกิมมิคของมันพอสมควรถึงจะเล่นเป็น
แต่บางตัวก็เล่นง่ายมากจนแทบไม่ต้องเพิ่งเทคนิคใดๆ เลยก็มี
งานนี้ใครที่คิดว่าเกมนี้ตัวละครมีความแตกต่างเพียงแค่รูปแบบกระสุนเหมือนเกมอื่นๆ
ล่ะก็ ขอให้คิดใหม่ได้เลยนะครับเมื่อมาเล่นเกมนี้
โดยตัวละครในเกมนี้จะมีให้เลือกใช้งานได้ทั้งหมด
4 ตัวด้วยกันคือ
• DEAD LIAR (สามารถเลือกรูปแบบของ Subweapon ได้ 2
แบบ โดยการกดปุ่ม Pause)
• FOSSIL MAIDEN
• MINO GAME
• KAGURA
*ต้องปลดล็อคโดยการเล่นจบด่านที่ 4 แบบไม่ใช้คอนทินิว*
(สามารถเลือกรูปแบบอาวุธได้ 4 แบบ โดยการกดปุ่ม Pause)
ความยากไม่เน้น เน้นรายละเอียดของระบบเกม
สำหรับเกมเพลย์จะเป็นเกมยานยิงตะลุยด่านแบบแนวตั้งหรือมุมมองด้านบน
ที่ต้องทำคือการควบคุมตัวละครไปทิศทางต่างๆ
เพื่อหลบการโจมตีพร้อมกับโจมตีศัตรูไปด้วยเหมือนกับเกมแนวนี้ทั่วไป
แต่สิ่งที่ทำให้ผมมองว่าจุดประสงค์หลักของเกมนี้ไม่ใช่การหลบกระสุนเพื่อเอาตัวรอดที่จะค่อยๆ
ยากขึ้นเรื่อยๆ แบบเกมอื่นในแนวเดียวกัน แต่เป็นเกมที่เน้นระบบการทำคะแนนอย่างมาก
(คะแนนในเกมนี้จะเรียกว่า "Spirit") ซึ่งการที่ผู้เล่นจะทำคะแนนให้ได้สูงๆ
ในเกมนี้จำเป็นอย่างมากที่จะต้องศึกษาระบบต่างๆ
อย่างรายละเอียดจากคู่มือที่แถมมากับตัวเกม ซึ่งก็ค่อนข้างซับซ้อนในระดับหนึ่ง
แต่เมื่อศึกษาและลองฝึกซ้อมบ่อยๆ จนเริ่มใช้ประโยคจากแมคคานิคของเกมได้คล่องแล้ว
ผู้เล่นก็จะสามารถเข้าถึงความสนุกที่แท้จริงจากการเก็บคะแนนได้เยอะๆ
เป็นอย่างดี
ส่วนในด้านความยากของเกมโดยรวมถือว่าค่อนข้างสูง
แต่ก็ไม่ได้ยากนรกแตกแบบเกม Touhou ในระดับ Lunatic ซึ่งความยากของเกมนี้หลักๆ
แล้ว จะอยู่ที่ความเร็วของกระสุนที่พุ่งมาค่อนข้างเร็ว
ซึ่้งผู้เล่นต้องมีสติและการตอบสนองที่รวดเร็วจริงๆ
กับในส่วนของการควบคุมตัวละครที่ผู้เล่นจำเป็นต้องรู้แนวทางการเล่นของตัวนั้นๆ
ถึงจะอยู่รอดไปได้จนจบเกม จากที่ลองเล่นมาตั้งแต่ด่านแรกจนถึงด่านสุดท้าย
(รวมถึงโหมด Extra Stage อีก 2 ด่าน)
พบว่าความยากในแต่ละด่านไม่ค่อยแตกต่างกันมากเท่าไหร่นัก
หากสามารถจดจำแพทเทิร์นและเทคนิคในแต่ละช่วงได้หมด
ก็ไม่มีอะไรที่ยากอีกต่อไปแล้วครับ
นอกจากนี้ในแต่ละด่านยังมีความลับมากมายให้ได้ค้นหากันอีกด้วย
ระบบการตายของเกมนี้จะเป็นแบบโดนครั้งเดียวแล้วตายทันที (1-Hit Death)
ในแต่ละเกมจะมีพลังชีวิตเริ่มต้นให้ 4 ตัว และสะสมเพิ่มได้สูงสุด 5-7 ตัว
ขึ้นอยู่กับการตั้งค่าของผู้เล่นว่าจะให้สะสมได้สูงสุดเท่าไหร่
(ค่าเริ่มต้นอยู่ที่ 6 ตัว)
นอกจากนี้หากตายจนพลังชีวิตหมดก็ยังสามารถใช้คอนทินิวเพื่อลุยต่อได้
แต่อาจจะทำให้บางฉากในด่านต่อไป ถูกตัดออกไป เพื่อลดความยากของเกมลง
และหากหลังจากจบด่าน Shrine of Farewell ไปแล้วยังตายจนตัวหมดอีก ก็จะ Gameover
ทันทีแบบไม่อาจโต้แย้งได้
อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือเพลงประกอบเกม
โดยเพลงในเกมนี้จะมาในแนวอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งทุกเพลงนั้นล้วนแต่ไพเราะ
และช่วยสร้างอารมณ์ร่วมได้อย่างมาก โดยเฉพาะในด่านท้ายๆ
ที่ยิ่งใกล้จุดไคลแมกซ์ของเกมมากเท่าไหร่
เพลงก็ยิ่งให้อารมณ์ที่พีคมากขึ้นเรื่อยๆ รับรองว่าฟังแล้วติดหูแน่นอน
ที่สำคัญถ้าใครติดใจเพลงในเกมนี้ ยังสามารถซื้อตัว DLC
เสริมมาอัพเกรดคุณภาพเสียงดนตรีให้กลายเป็นระดับ HD ได้อีกด้วยนะ
ด่านต่างๆ
("Segment") ในเกมจะมีทั้งหมด 8 ด่าน กับด่านพิเศษที่ชื่อว่า Shrine of Farewell
อีกหนึ่งด่าน โดยหากค่า Terra ที่มุมซ้ายล่างของจอลดลงจนหมดเมื่อไหร่
ด่านต่อไปก็จะเป็น Shrine of Farewell อย่างแน่นอน โดยในฉากนี้จะเป็นฉากรวมบอส
ซึ่งผู้เล่นจะต้องเอาชนะบอสให้ได้ทั้ง 4 ตัวเพื่อเคลียร์ด่าน
โดยก่อนเริ่มการต่อสู้ผู้เล่นสามารถเลือกลำดับการปรากฏตัวของบอสได้ตามสัญลักษณ์บนการ์ดที่เลือก
และยังมีความพิเศษคือ เมื่อเข้ามาในด่านนี้ คะแนนหรือ Spirit
ทั้งหมดที่เก็บมาได้จะถูกล้างออก แต่จะถูกแปลงกลับมาเป็นไอเทม "คริสตัล"
ที่ตกมาให้เก็บหลังจบด่านแทน และพลังชีวิตในด่านนี้จะไม่มีวันหมด แต่หากตายบ่อยๆ
จะทำให้จำนวนคริสตัลที่สะสมระหว่างต่อสู้ลดลงนะครับ
นอกจากนี้หากผู้เล่นสามารถปราบบอสสุดท้ายในร่างจริงได้ (TLB)
ก็จะสามารถปลดล็อคโหมด Extra Stage ออกมาเล่นได้อีกด้วย
กิมมิคและลูกเล่นเล็กๆ น้อยๆ
ที่ให้ประสบการณ์แปลกใหม่และแตกต่างจากเกมอื่น
จุดเด่นอีกอย่างของเกมนี้ก็คือการที่ทางผู้พัฒนาได้ใส่กิมมิคและลูกเล่นเล็กๆ
น้อยๆ เข้าไป เช่น
การเลือกตัวละครในเกมนี้จะให้เลือกกันตั้งแต่หน้าเมนูหลักโดยตรงเลย
ซึ่งจะต่างจากเกมอื่นๆ ที่ให้เลือกตัวละครหลังจากเลือกโหมดการเล่นไปแล้ว หรือ
หลังจากเล่นจบในแต่ละด่านแล้วตัวเกมจะมีการถามผู้เล่นด้วยว่า จะลุยต่อ (Go on)
หรือ ล้มเลิกภารกิจ (Break) แต่มันมีกิมมิคเล็กๆ
ตรงที่ผู้เล่นจะต้องกดปุ่มซ้ายหรือขวาค้างไว้เพื่อเลือกคำตอบ
แล้วตามด้วยปุ่มยืนยันคำตอบ
นี่ยังไม่นับรวมถึงดีไซน์วิชวลและแพทเทิร์นของศัตรูต่างๆ
ที่มีความสร้างสรรค์อีกด้วย
ทำให้ประสบการณ์ที่ได้รับจากการเล่นเกมนี้จะรู้สึกแปลกใหม่และแตกต่างจากเกมอื่นอย่างมาก
ซึ่งใครที่อยากรู้ว่าจะมีลูกเล่นและความลับอะไรอีกบ้างนอกจากนี้ก็คงต้องลองเข้าไปเล่นเอาเองแล้วละครับ
รับรองว่าเซอร์ไพร์แน่ๆ
สรุปแล้ว
เป็นเกมยานยิงแบบ Old school
ที่แต่ละตัวละครมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน เกมเพลย์ก็รวดเร็วมากๆ
การต่อสู้เป็นแบบ 2D มุมบน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเกมยานยิงจากฝั่งญี่ปุ่น
ในเรื่องความยาก คิดว่าขึ้นอยู่กับตัวละครที่ผู้เล่นเลือกมากกว่า
เพราะแต่ละตัวเล่นยาก-ง่ายไม่เหมือนกัน ใครอยากเล่นแบบง่ายๆ
หรืออยากจะลองเทคนิคแปลกๆ ก็แล้วแต่จะจัดกัน
รายละเอียดปลีกย่อยของระบบและความลับต่างๆ ที่ชวนให้กลับมาเล่นซ้ำได้เรื่อยๆ
งานดีไซน์โดยรวมของเกมและลูกเล่นเล็กๆ น้อยๆ ที่ให้ความรู้สึกแปลกใหม่สุดๆ
รวมไปถึงเพลงประกอบที่ยิ่งเล่นไปไกลมากเท่าไหร่ก็ยิ่งให้ความรู้สึกที่ลุ้นระทึกมากขึ้นเรื่อยๆ
จุดสังเกตคือ
เกมนี้ไม่มีระบบ Autofire แบบในเกมแนวเดียวกันตัวอื่นๆ
ผู้เล่นจำเป็นต้องกดปุ่มยิงย้ำๆ เอาเองแบบเกมแนวไฟติ้ง
แถมบางตัวละครยังมีท่ายิงพิเศษที่ต้องรัวปุ่มยิงให้ไวกว่าปกติเพื่อใช้งานอีกด้วย
ทำให้เกมเมอร์บางคนที่เคยชินกับการกดปุ่มยิงค้างจากเกมอื่นอาจรู้สึกขัดใจอยู่บ้าง
สำหรับใครที่กำลังมองหาเกมแนวยานยิงที่ให้ประสบการณ์ในการเล่นที่
"แตกต่าง" จากเกมทั่วไปในท้องตลาดละก็ แนะนำให้ลองเกมนี้เลยครับ
รองรับคุ้มค่าแน่นอน!!
จุดเด่น
- เกมเพลย์ที่รวดเร็วมากๆ
- การออกแบบมุมกล้องและ Scrolling
ของฉากที่ให้ความรู้สึก Sense of Speed
-
ทุกตัวละครมีสไตล์การเล่นและเทคนิคเฉพาะตัวที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
-
เพลงประกอบที่ยิ่งใกล้จุดไคลแมกซ์ของเกมก็ยิ่งให้ความรู้สึกพีคมากขึ้นเรื่อยๆ
-
งานดีไซน์โดยรวมของเกมที่เป็นเอกลักษณ์มากๆ และให้ประสบการณ์ที่แปลกใหม่สุดๆ
-
เล่นซ้ำกี่รอบก็ไม่รู้สึกเบื่อ
จุดสังเกต
- ความยากไม่เป็นมิตรกับมือใหม่แนวนี้
-
ไม่มีระดับความยากให้เลือก
- ไม่มีระบบ Autofire
-
การเลือกตัวละครจากหน้าเมนูหลักโดยตรงที่ชวนให้สับสนเล็กน้อย
- ระบบต่างๆ
ค่อนข้างซับซ้อนกว่าเกมแนวเดียวกัน
กราฟิก 8
ระบบการเล่น 9
ความแปลกใหม่ 10
ดนตรีและเสียงประกอบ 10
ความคุ้มค่า 10
ภาพรวม 9.4/10